วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Panasonic เปิดตัว กล้องดิจิตอล 8 รุ่น

เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เป็นช่วงเปิดตัว กล้องดิจิตอล รุ่นใหม่ ของทุกค่าย สำหรับ Panasonic ชิงเปิดตัวไปแล้วรวดเดียว 8 รุ่น ได้แก่ LZ8, LZ10, FS3, FS5, FS20, FX35, TZ4, TZ5









กล้องทั้ง 8 รุ่นเปิดตัวพร้อมกัน ความละเอียด 8.1-10.1 ล้านพิกเซล และมีคุณสมบัติหลักๆ ที่เป็น hilight เหมือนกัน ได้แก่
  • ตัวประมวลผล Venus Engine IV รุ่นใหม่ ประมวลผลเร็ว shutter lag เพียง 0.00X วินาที shutter interval เพียง 0.X วินาที ถ่ายภาพต่อเนื่องในโหมด hi-speed burst ได้ 6-7 fps ที่ 2-2.5ล้านพิกเซล
  • High Sensitivity Mode ถ่ายภาพในที่เกือบมืดสนิทได้ ISO สูงสุดถึง 6400
  • Intelligent LCD จอภาพอัจฉริยะ สามารถตรวจวัดสภาพแสงของสภาพแวดล้อมและปรับความสว่างของจอได้ 11 ระดับโดยอัตโนมัติ เช่น อยู่กลางแจ้ง จอภาพก็จะเพิ่มความสว่างเพื่อให้มองได้ง่ายขึ้น
  • Slideshow แสดงสไลด์โชว์พร้อมเสียงเพลงแบ็คกราวด์
  • iA (Intelligent Auto Mode) โหมดอัจฉริยะที่เปิดตัวมาพร้อมเคน-โดมในรุ่น FX33 / FX55 ช่วยเลือกโหมดต่างๆให้เราโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเปลี่ยนโหมดเอง
  • ระบบกันสั่นทั้ง 2 แบบ คือ Mega OIS (Lens-Shift) และ Intellgent ISO (ISO-Shift)
  • HD (High Definition) photo และ HD Video รองรับการแสดงผลบนจอ wide-screen ของ HDTV
  • Easy Zoom function เป็นฟังก์ชั่นใหม่ กดซูมครั้งเดียวจะซูมจนสุด เพื่อความรวดเร็ว ไม่ต้องรอๆๆ 
  • Extra Optical Zoom มีอยู่ในรุ่นก่อนๆแล้ว เป็นคุณสมบัติของพานาโซนิคทุกรุ่นที่สามารถเพิ่มกำลังขยายแบบ Optical Zoom ได้ โดยการใช้พื้นที่บริเวณกลาง CCD เมื่อถ่ายภาพขนาดความละเอียดต่ำลงมา เช่น 3 ล้านพิกเซล

DMC-LZ8, DMC-LZ10 เป็นกล้องต่อเนื่องในตระกูล LZ ที่เน้นราคาประหยัด ซูมเยอะ (5X) ใช้แบตเตอรี่แบบ AA 2 ก้อน
DMC-FS3, DMC-FS3, DMC-FS20กล้องดิจิตอล ตระกูล FS เป็นซีรีย์ใหม่ หากจะจัดกลุ่ม คงอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงแต่ต่ำกว่าซีรีย์ FX นิดหน่อยทั้งเรื่องคุณสมบัติ และคุณภาพวัตถุดิบ ทั้งสามรุ่นใช้แบตเตอรี่ลิเทียม ขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงตระกูล FX
DMC-FX35เป็นรุ่นต่อเนื่องของ DMC-FX33 คุณสมบัติเด่นคือ เป็น กล้องดิจิตอล ตัวแรกที่มาพร้อมเลนส์ไวด์ขนาด 25mm และ optical zoom 4X และเมื่อใช้ Extra Optical Zoom จะได้ถึง 7.1X ความละเอียด 10.1 ล้านพิกเซล
DMC-TZ4, DMC-TZ5
ไม่บอกก็คงรู้ว่าเป็นรุ่นต่อเนื่องของ DMC-TZ3 สุดฮิต ความละเอียด 8.1 ล้านพิกเซลสำหรับ TZ4 และ 9.1 ล้านพิกเซลสำหรับ TZ5 ยังคงคุณสมบัติเด่นเดิมไว้หมด ได้แก่ เลนส์ไวด์ 28mm พร้อม Optical Zoom 10X ในกล้องขนาดพกพา จอ LCD ขนาด 2.5 และ 3 นิ้ว เมมโมรี่ในตัว 50MB

ต่อเทคโนโลยี 3G คืออะไร

ข้อจำกัดของเครือข่าย 2.5G และ 2.75G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G แม้จะสามารถรองรับการสื่อสารประเภท Non-Voice ได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างบริการประเภท Killer Application ที่ผลิกผันรูปแบบการให้บริการได้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากสถาการณ์การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่แม้จะมีการเติบโตอย่างชัดเจนในตลาดประเภท Non-Voice แต่เมื่อศึกษาอย่างละเอียดก็จะพบว่าบริการที่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นบริการประเภท SMS และ EMS ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดรูปภาพหรือเสียงเรียกเข้า รวมถึงการเล่นเกมส์ตอบปัญหาหรือส่งผลโหวตที่ปรากฏอยู่ตามสื่อชนิดต่าง ๆ ซึ่งบริการเหล่านี้ล้วนเป็นบริการพื้นฐานในเครือข่าย 2G
ข้อจำกัดของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อน 2.5G และ 2.75G เกิดขึ้นมาจากความพยายามพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GSM หรือ CDMA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่อาจบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ 900 เมกะเฮิตรซ์ , 1800 เมกะเฮิตรซ์ หรือ 1900 เมกะเฮิตรซ์ เนื่องจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานมาตั้งแต่การเปิดให้บริการในยุค 2G ล้วนเป็นเทคโนโลยีเก่า มีการทำงานแบบ Time Division Multiple Access (TDMA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่า ต้องจัดสรรวงจรให้กับผู้ใช้งานตายตัว ไม่สามารถนำทรัพยากรเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีดังกล่าวเหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลแบบ Voice ซึ่งต้องการคุณภาพและความคมชัดในการสนทนา
แม้เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ซึ่งถือเป็นการเสริมเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet Switching) ที่มีความยืดหยุ่นในการสื่อสารข้อมูลแบบ Non-Voice ในลักษณะเดียวกับที่พบในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ตาม แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ถือว่าเป็นการ ต่อยอด บนเครือข่ายแบบเดิมที่มีการทำงานแบบ TDMA ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายต้องพะวงกับการจัดสรรทรัพยากรช่องสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการจัดสรรวงจรสื่อสารผ่านคลื่นความถี่วิทยุจากสถานีฐาน ไปยังเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการแบบ Non-Voice ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลรบกวนต่อจำนวนวงจรสื่อสารแบบ Voice มากจนเกินไป
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงพบว่าไม่มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G รายใดในโลก สามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยี GPRS ด้วยอัตราเร็วสูงสุด 171 กิโลบิตต่อวินาที หรือ EDGE ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาทีได้ เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้สถานีฐาน (Base Station) ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีวงจรสื่อสารเหลือสำหรับให้บริการแบบ Voice อีกต่อไป ผลที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้ใช้บริการก็คือความเชื่องช้าในการสื่อสารข้อมูล ผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G ทำให้หมดความสนใจที่จะใช้บริการต่อไป โดยในขณะเดียวกันก็มีบริการสื่อสารอัตราเร็วสูงแบบบรอดแบนด์ผ่านคู่สาย เช่น DSL (Digital Subscriber Line) เป็นทางเลือกสำหรับใช้บริการ ความสนใจที่จะใช้เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อรับส่งข้อมูลจึงมีอยู่ เฉพาะการเล่นเกมส์และส่ง SMS, MMS ซึ่งทำได้ง่าย และมีการประชาสัมพันธ์ดึงดูดใจมากมาย
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G
เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการเปิดให้บริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งยังคงรักษาคุณภาพในการให้บริการ Voice ด้วยระดับคุณภาพที่ทัดเทียมหรือดีกว่าในยุค 2G องค์กรสากล 3GPP (Third Generation Program Partnership) และ 3GPP2 จึงได้กำหนดมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ขึ้น โดยมีมาตรฐานสำคัญอยู่ 2 ประเภท คือ
มาตรฐาน UMTS (Universal Mobile Telecommunications Services) เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้นำ ไปพัฒนาจากยุค 2G/2.5G/2.75G ไปสู่มาตรฐานยุค 3G อย่างเต็มตัว รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP มีเทคโนโลยีหลักที่ปัจจุบันมีการยอมรับใช้งานทั่วโลกคือมาตรฐาน Wideband Code Division Multiple Access (W-CDMA) โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไปสู่มาตรฐาน HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งรองรับการสื่อสารด้วยอัตราเร็วสูงถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที หรือเร็วกว่าการสื่อสารแบบ 2.75G ถึง 36 เท่า มาตรฐาน W-CDMA นี้เองที่กิจการร่วมค้า ไทย - โมบาย กำลังจะดำเนินการพัฒนาเพื่อเปิดให้บริการภายในต้นปี พ.ศ. 2548 นอกจากจะเป็นเส้นทางในการพัฒนาสู่มาตรฐาน 3G ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังได้รับการยอมรับจากผู้ให้บริการรายใหญ่อย่างบริษัท NTT DoCoMo ผู้เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ I-mode ซึ่งใช้เทคโนโลยี PDC ให้เป็นมาตรฐาน 3G สำหรับใช้งานภายใต้เครื่องหมายการค่า “FOMA” โดยได้เปิดให้บริการในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา และปัจจุบัน W-CDMA ได้กลายเป็นเครือข่าย 3G ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มาตรฐาน cdma2000 เป็นการพัฒนาเครือข่าย CDMA ให้รองรับการสื่อสารในยุค 3G รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP2 มีเทคโนโลยีหลักคือ cdma2000-3xRTT ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับมาตรฐาน W-CDMA ของค่ายยุโรป แต่ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดความพร้อมสำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน สำหรับในประเทศไทย บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด เปิดให้บริการเฉพาะเครือข่าย cdma20001xEV-DO ซึ่งยังมีขีดความสามารถเทียบเท่าเครือข่าย 2.75G เท่านั้น
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ W-CDMA ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รองรับการสื่อสารแบบมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารชนิด TDMA ที่ปรากฏอยู่ในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G/2.5G/2.75G ไปเป็นการสื่อสารแบบแพ็กเกตสวิทชิ่งเต็มรูปแบบ สามารถรองรับทั้งการสื่อสารทั้ง Voice และ Non-Voice โดยมีมาตรฐานการรองรับและควบคุมคุณภาพของข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล (Information Coding) จึงทำให้ผู้ให้บริการเครือข่าย 3G ก้าวพ้นจากข้อจำกัดในการบริหารจัดการข้อมูลประเภท Voice และ Non-Voice ดังที่ปรากฏอยู่ในมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้อย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เครือข่าย W-CDMA สามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลได้อย่างเต็มรูปแบบ และให้เกิดความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากรความถี่วิทยุ จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดย่านความถี่สำหรับใช้เปิดให้บริการ โดยเป็นไปตามแผนผังการจัดวางความถี่สากลทั่วโลกดังแสดงในรูปที่ 5 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ กิจการร่วมค้าไทย - โมบาย เป็นเพียงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดียวในประเทศไทยที่สามารถเปิด ให้บริการเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA ได้ในทันที เนื่องจากมีสิทธิ์ใช้คลื่นความถี่วิทยุในย่าน 1965 – 1980 เมกะเฮิตรซ์ และ 2155 – 2170 เมกะเฮิตรซ์ ขณะที่ผู้ให้บริการเครือข่ายรายอื่น ๆ จำเป็นต้องยื่นคำร้องผ่านกระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโดยคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อได้สิทธิ์ในการเปิดให้บริการ W-CDMA เป็นรายต่อไป
จุดเด่นของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA
นอกจากมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีสถานีฐาน (Base Station Subsystem) จากยุค 2G ซึ่งใช้เทคโนโลยี TDMA เป็นการรับส่งข้อมูลในรูปแบบแพ็กเกตเพื่อความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากร ความถี่สำหรับให้บริการทั้งแบบ Voice และ Non-Voice อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยสร้างความรู้สึกให้กับผู้ใช้บริการ (End User Perception) ถึงความรวดเร็วในการสื่อสารข้อมูล และยังคงรักษาคุณภาพของการสนทนาที่เหนือกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังมีความคล่องตัวในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายข้อมูลที่อยู่ในโลกอิน เทอร์เน็ต เนื่องจากมาตรฐานการเชื่อมต่อต่าง ๆ สอดรับกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตทุกประการ ก่อให้เกิดการเปิดกว้างในรูปแบบของความร่วมมือกับพันธมิตรจำนวนมาก มีความคล่องตัวในการบันทึก จัดเก็บ และบริหารจัดการข้อมูลประเภทสื่อข้อมูล (Content) ต่าง ๆ
เมื่อทำการเปรียบเทียบเฉพาะด้านของอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลดังแสดงใน รูปที่ 6 จะเห็นว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G นอกจากจะรองรับการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว ยังก่อให้เกิดการถือกำเนิดของบริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นบนเครือข่ายยุคในตระกูล 2G/2.5G/2.75G ได้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบริการ Video Telephony และ Video Conference ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน โดยเครือข่าย 3G จะทำการถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงระหว่างคู่สนทนา โดยไม่เกิดความหน่วงหรือล่าช้าของข้อมูล บริการในลักษณะนี้จะกลายเป็น จุดขาย สำคัญประการหนึ่งของมาตรฐานการสื่อสารแบบ 3G ทั้งนี้เครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ล้วนรองรับบริการ Video Telephony แล้วทั้งสิ้น จึงสามารถเปิดให้บริการดังกล่าวได้ในทันที
ข้อมูลจาก UMTS Forum ในรูปที่ 7 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA เปรียบเทียบกับมาตรฐาน GSM โดยพิจารณาอัตราการเติบโตภายในช่วง 10 ไตรมาสแรก (2 ปีครึ่ง) หลังจากการเปิดให้บริการ GSM ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 เทียบกับ 10 ไตรมาสแรกหลังจากการเปิดให้บริการ W-CDMA ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 พบว่าเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ามาก มูลเหตุสำคัญมาจากแรงผลักดัน (Business Momentum) ที่ผู้ใช้บริการ 2.5G หรือ 2.75G รอคอยเครือข่ายสื่อสารไร้สายที่สามารถตอบสนองความต้องการในการสื่อสารข้อมูล ด้วยอัตราเร็วสูงอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายยังมีความคล่องตัวในการจัดสรรเครือข่ายในด้าน ต่าง ๆ เพื่อสร้างบริการสื่อสารประเภท Non-Voice ที่ต้องพึ่งพาอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่สูงขึ้น นอกเหนือจากบริการ Non-Voice พื้นฐานอย่าง SMS และ EMS
กล่าวโดยสรุป ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มาตรฐานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA มีแนวโน้มของการประสบความสำเร็จทางธุรกิจที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G จนถึง 2.75G นั้น สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติรูปแบบของเทคโนโลยีเครือข่าย เพื่อตอบสนองรูปแบบการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจให้ผลักดันบริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ UMTS Forum ได้กล่าวถึงจุดเด่นของมาตรฐาน W-CDMA ซึ่งจะนำความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการดังนี้ (เอกสาร Why the world has chosen W-CDMA : 24 September 2003)
1. เครือข่าย W-CDMA รับประกันคุณภาพในการรองรับข้อมูลแบบ Voice และ Non-Voice ในแง่ของผู้ใช้บริการจะรับรู้ได้ว่าคุณภาพเสียงจากการใช้งานเครือข่าย 3G ชัดเจนกว่าหรืออย่างน้อยเทียบเท่าการสนทนาผ่านเครือข่าย 2G ส่วนการรับส่งข้อมูลแบบ Non-Voice จะรับรู้ถึงอัตราเร็วในการสื่อสารที่สูงกว่าการใช้งานผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G มาก อันเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเครือข่าย และใช้ย่านความถี่ที่สูงขึ้น
2. W-CDMA เป็นมาตรฐานเปิด (Open Standard) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยกลุ่ม 3GPP ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับผู้พัฒนามาตรฐาน GSM ทำให้ผู้ให้บริการ 3G สามารถเชื่อมต่อเครือข่าย 3G เข้าหากันได้ถึงขั้นอนุญาตให้มีการใช้งานข้ามเครือข่าย (Roaming) เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในเครือข่ายยุค 2G นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานข้ามเครือข่ายกับมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้ในทันที โดยผู้ใช้บริการเพียงมีอุปกรณ์สื่อสารแบบ Dual Mode เท่านั้น ทำให้เกิดลู่ทางในการสร้างเครือข่าย W-CDMA เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการเครือข่ายรายอื่นได้ร่วมเข้าใช้บริการ ในลักษณะของ Mobile Virtual Network Operator (MVNO) เป็นรายได้ที่สำคัญนอกเหนือจากการให้บริการ 3G กับผู้ใช้บริการที่จดทะเบียนภายในเครือข่าย
3. มาตรฐาน W-CDMA เป็นมาตรฐานโลก ที่จะเข้ามาแทนที่เครือข่ายในตระกูล GSM เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เครือข่าย GSM เข้ามาแทนที่เครือข่าย 1G เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว จึงเป็นการรับประกันถึงพัฒนาการที่มีอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ การเร่งเปิดให้บริการ 3G จึงเปรียบได้กับการเร่งเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันที่เกิดขึ้น ในอดีต
4. พิจารณาเฉพาะการให้บริการแบบ Voice จะเห็นว่าการลงทุนสร้างเครือข่าย W-CDMA มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการสร้างเครือข่าย GSM ถึงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมาตรฐาน W-CDMA มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวให้ผู้ประกอบสามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรความถี่ เพื่อรองรับ Voice และ Non-Voice ได้อย่างผสมผสาน ต่างจากการกำหนดทรัพยากรตายตัวในกรณีของเทคโนโลยี GSM
5. W-CDMA เป็นมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดเดียวที่มีรูปแบบการทำงานแบบแถบความถี่กว้าง (Wideband) อันนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการสร้างพื้นที่ให้บริการที่กว้างใหญ่ ไปพร้อม ๆ กับความสะดวกในการเพิ่มขยายขีดความสามารถในการรองรับข้อมูลข่าวสาร ต่างจากเครือข่าย 2G โดยทั่วไปที่ปัจจุบันเริ่มประสบกับปัญหาการจัดสรรความถี่ที่ไม่เพียงพอต่อ การขยายเครือข่าย เนื่องจากเป็นระบบแบบแถบความถี่แคบ (Narrow Band)
6. กลไกการทำงานภายในเครือข่าย W-CDMA เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน IETF (Internet Engineering Task Force) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเปิดโอกาสให้พันธมิตรทางธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโปรแกรมหรือบริการพิเศษต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ทำการพัฒนาสร้างบริการผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย โดยใช้ทักษะความสามารถและความชำนาญที่มีอยู่ เป็นการกระตุ้นให้เกิดบริการประเภท Non-Voice ได้สารพัดรูปแบบ
7. มีแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในรองรับการสื่อสารข้อมูลที่มีอัตราเร็วสูง ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสู่มาตรฐาน HSDPA ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วที่สูงมากถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที ในขณะที่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่สามารถพัฒนาให้รองรับการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่าเทคโนโลยี EDGE ในปัจจุบัน ซึ่งรองรับข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาที และในความเป็นจริงก็ไม่สามารถเปิดให้บริการด้วยอัตราเร็วถึงระดับดังกล่าว ได้ เนื่องจากจะทำให้สถานีไม่สามารถรองรับบริการ Voice ได้อีกต่อไป
8. ในอนาคตมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนในการรวมตัวกับมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน Wireless LAN (IEEE802.11b/g) หรือ WiMAX (IEEE802.16d/e/e+) ทำให้ผู้ใช้บริการเครือข่ายไร้สายสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานในเครือข่ายใด ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสมทางภูมิประเทศ โดยยังคงได้รับการดูแลโดยผู้ให้บริการเครือข่าย 3G
ความสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM จำนวนมากทั่วโลก รวมนักลงทุนหน้าใหม่ ให้ความสำคัญสำหรับการแสวงหาสิทธิ์ในการเปิดให้บริการเครือข่าย 3G และมีแผนกำหนดเปิดให้บริการเทคโนโลยี W-CDMA ดังมีข้อมูลแสดงในรูปที่ 8 โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับต้น ๆ ของโลก 8 รายได้ตัดสินใจเลือกมาตรฐาน W-CDMA เป็นเทคโนโลยี 3G ดังแสดงในรูปที่ 9
ในท้ายที่สุด ความสมบูรณ์แบบในการรองรับธุรกิจ Non-Voice ของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะช่วยผลักดันให้เกิดห่วงโซ่ธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ดังแสดงในรูปที่ 10 แม้จะมีความพยายามในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมภายในประเทศที่จะผลัก ดันให้เกิดการประสานผลประโยชน์อย่างลงตัวระหว่างผู้ให้บริการเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G/2.5G/2.75G กับผู้ประกอบการสื่อข้อมูลต่าง ๆ มาก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดของเครือข่ายในตระกูล GSM และ CDMA เองที่ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจต่อผู้ใช้บริการ จึงทำให้เกิดการขาดช่วงของความสมดุลในการผสานผลประโยชน์ เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ FOMA ของบริษัท NTT DoCoMo ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA และประสบความสำเร็จในการดึงศักยภาพของเครือข่าย W-CDMA ให้เกื้อหนุนต่อความลงตัวสำหรับการร่วมมือในธุรกิจ Non-Voice ในประเทศญี่ปุ่นอย่างงดงาม ต่อเนื่องด้วยความคืบหน้าในการสานต่อโครงสร้างธุรกิจ Non-Voice ในประเทศจีนและอีกหลาย ๆ ประเทศ จึงสรุปได้ว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะเป็นการเปิดประตูสู่ธุรกิจ Non-Voice ในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้

เทคโนโลยี 3G คืออะไร

3G คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือมาตรฐาน IMT-2000 นั้นนิยามสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า
  • “ต้องมี แพลทฟอร์ม (Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเทอร์เน็ต และ พหุสื่อ (Multimedia) เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อข้อมูล ดิจิตอล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
  • “ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming) ” คือ ผู้บริโภคสามารถ ถืออุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
  • “บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service) ” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยน เซลล์ไซต์ (Cell Site) เขาใช้คำว่า Seam less นั้นแปลว่า ไร้รอยตะเข็บนะครับ
  • อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 นั้นกำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็วดังนี้ [

    • ในสภาวะอยู่กับที่หรือขณะเดิน มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 2 เมกะบิต/วินาที
    • ในสภาวะเคลื่อนที่โดยยานพาหนะ มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 384 กิโลบิต/วินาที
    • ทุกสภาวะ มีความเร็วอย่างมากที่สุด 14.4 เมกะบิต/วินาที
จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี 3G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (Third Generation Mobile Network หรือ 3G) เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 2 หรือ 2G ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจสื่อสารไร้สายอย่างมหาศาลนับ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ในยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G มีมาตรฐานที่สำคัญที่มีการนิยมใช้งานทั่วโลกอยู่ 2 มาตรฐาน กล่าวคือมาตรฐาน GSM (Global System for Mobile Communication) อันเป็นมาตรฐานของกลุ่มสหภาพยุโรป ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงที่สุด และมาตรฐาน CDMA (Code Division Multiple Access) อันเป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่สอง
จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ขึ้น ก็เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานระบบสื่อสารไร้สายส่วนบุคคล (Personal Communication) ในลักษณะไร้พรมแดน (Global Communication) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถนำเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ งานในที่ใด ๆ ก็ได้ทั่วโลกที่มีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว และยังเป็นยุคของการนำมาตรฐานสื่อสารแบบดิจิตอลสมบูรณ์แบบมาใช้รักษาความ ปลอดภัย และเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความแบบสั้น (Short Message Service หรือ SMS) และการเริ่มต้นของยุคสื่อสารข้อมูลผ่านเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นครั้งแรก โดยมาตรฐาน GSM และ CDMA ตอบสนองความต้องการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงสุด 9,600 บิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเร็วของการสื่อสารผ่านโมเด็มใน เครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานเมื่อกว่าสิบปีก่อน
การตอบรับของกลุ่มผู้บริโภคบริการสื่อสารไร้สายทั่วโลก ทำให้มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการณ์ทั่วโลกอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดการเปิดสัมปทานและนำมาซึ่งการแข่งขันอย่างรุนแรงในแทบทุกประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะมีผลทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้บริการอย่าง ก้าวกระโดดแล้ว ในขณะเดียวกันยังสร้างผลกระทบต่อรายได้โดยเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue per User หรือ ARPU) ของผู้ให้บริการเครือข่าย อันเนื่องมาจากการกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา ยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้ (Prepaid Subscriber) ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ก็ทำให้เกิดการลดถอยของ ARPU ลงอย่างต่อเนื่อง พร้อม กับปัญหาผู้ใช้บริการย้ายค่าย (Brand Switching) ที่รุนแรงขึ้น
เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตราสินค้าและยังเป็นการสร้างรายได้ เพิ่มเพื่อชดเชย ARPU ที่ลดต่ำลง เนื่องจากปรากฏการณ์อิ่มตัวของบริการสื่อสารด้วยเสียง (Voice Service) ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกจึงมีความเห็นตรงกันที่จะ สร้างบริการสื่อสารไร้สายรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้น โดยพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่เปิดใช้งานอยู่ ให้มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการสื่อสารข้อมูลแบบที่มิใช่เสียง (Non-Voice Communication) พร้อมกับการวางแผนธุรกิจ แผนปฏิบัติการทางวิศวกรรม การตลาด และแผนการลงทุน เพื่อสร้างกระแสความต้องการ (Demand Aggregation) ให้กับฐานลูกค้าผู้ใช้บริการที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่ม ARPU ให้สูงขึ้น พร้อม ๆ กับผลักดันให้เกิดบริการรูปแบบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งข้อมูลแบบ EMS (Enhanced Messaging Service) หรือ MMS (Multimedia Messaging Service) รวมถึงบริการท่องโลกอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านอุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งมีทั้งที่เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่ว ๆ ไป อุปกรณ์ไร้สายประเภท PDA (Personal Digital Assistant) และโทรศัพท์เคลื่อนที่อัจฉริยะ (Smart Phone)
เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่ได้มีการลงทุนไว้แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบใหม่ ๆ จึงถูกกำหนดขึ้น ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาเครือข่ายเดิม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit Switching Data), GPRS (General Packet Radio Service) หรือ EDGE (Enhanced Data Rate for GPRS Evolution) ของค่าย GSM และเทคโนโลยี cdma20001xEV-DV หรือ cdma20001xEV-DO ของค่าย CDMA ดังแสดงพัฒนาการในรูปที่ 1 เรียกมาตรฐานต่อยอดดังกล่าวโดยรวมว่า เทคโนโลยียุค 2.5G/2.75G ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ปรากฏมีมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ PDC (Packet Digital Cellular) เปิดให้บริการสื่อสารข้อมูลในลักษณะของเทคโนโลยี 2.5G ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า i-mode ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดศักราชของการให้บริการสื่อสารข้อมูล แบบมัลติมีเดียไร้สายในประเทศญี่ปุ่น และได้กลายเป็นต้นแบบของการจัดทำธุรกิจ Non-Voice ให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกในเวลาต่อมา
การเติบโตของธุรกิจ Non-Voice
ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอันเป็นยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยี 2.5G ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย มีการผลักดันบริการสื่อสารข้อมูลรูปแบบใหม่ ๆ ในรูปแบบ Non-Voice เพื่อสร้างกระแสนิยมในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 2.5G อย่างเต็มรูปแบบ หรือเป็นการผลักดันให้เกิดการยอมรับในบริการที่มีอยู่แล้ว อันได้แก่บริการ SMS ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่าบริการเหล่านี้ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญที่เพิ่ม มูลค่าให้บริการ ARPU ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รูปที่ 2 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของบริการประเภทต่าง ๆ บนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภาพรวมของทั้งทวีปเอเชียตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2553 ซึ่งในท้ายที่สุดบริการแบบ Non-Voice จะมีสัดส่วนที่เป็นนัยสำคัญต่อรายได้รวมทั้งหมด
สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเอง นับตั้งแต่การเปิดให้บริการประเภท Non-Voice อย่างจริงจังเมื่อต้นปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็สามารถสร้างรายได้เพื่อ เสริมทดแทนการลดทอนของค่า ARPU ภายในเครือข่ายของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการสื่อสารไร้สายมัลติมีเดียของ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด (HUTCH) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา สภาพการแข่งขันในธุรกิจสื่อสารไร้สายในประเทศไทยก็เริ่มมุ่งความสำคัญในการ สร้างบริการ Non-Voice ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้บริการ MMS อย่างเป็นทางการ การคิดโปรโมชั่นกระตุ้นการท่องอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งการทดลองเปิดให้บริการชมภาพยนตร์ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (TV on Mobile) ซึ่งความพยายามของผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละราย ทำให้เกิดกระแสความสนใจใช้บริการ Non-Voice เพิ่มมากขึ้น
รูปที่ 3 และ 4 แสดงถึงความสำคัญของรายได้ที่เกิดขึ้นจากบริการ Non-Voice นับตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา อันมีผลทำให้บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเพิ่มค่า ARPU ของตนให้มีแนวโน้มสูงขึ้น พร้อม ๆ กับการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายของตน ซึ่งแตกต่างจากสภาพการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่รายได้เฉลี่ยของตนตกลงเรื่อย ๆ สวนทางกับการเพิ่มจำนวนของกลุ่มผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของประเทศ มีการเพิ่มค่า ARPU ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากนโยบายการตลาดของผู้ให้บริการที่มีการจำกัดเวลาในการโทร ให้สัมพันธ์กับวงเงินก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความนิยมในบริการ Non-Voice ประเภท SMS และ EMS โดยเฉพาะที่อยู่ในรูปแบบของบริการดาวน์โหลดรูปภาพ (Logo/Animation) และเสียงเรียกเข้า (Ringtone) ในกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษามีผลอย่างเป็นนัยสำคัญต่อการเพิ่มค่า ARPU ดังกล่าว

หนุ่มแอฟริกาใต้ต้มสาวไทย

เสียรู้เป็นร้อย!ตีสนิททางเน็ตหลอกโอนเงินรวบสาวร่วมตุ๋น

ตำรวจรวบสาวบาร์เบียร์ย่านพัทยา รวมหัวกับแฟนหนุ่มผิวหมึกชาวแอฟริกาใต้หลอกตุ๋นสาวไทย โดยพฤติกรรมสุดแสบใช้อินเตอร์เน็ตโปรมแกรม "เฟซบุ๊ก" และ "msn" หลอกตุ๋นสาวไทย ทำทีเดินทางมาพบแล้วอ้างถูกกักตัวที่สนามบินพร้อมใช้เล่ห์เหลี่ยมให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชี สาวไทยตกเป็นเหยื่อกว่า 100 ราย สูญเงินกว่า 20 ล้านบาท

ตำรวจรวบตัวสาวบาร์เบียร์ หลังร่วมหัวกับหนุ่มต่างชาติหลอกตุ๋นสาวไทยรายนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 7 ต.ค. ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ต.ชิษณุพงศ์ ยุกตะทัต ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการ พ.ต.อ.ภวัต พรหมมะกฤต พ.ต.อ.ชยุต รัตนอุบล รอง ผบก.ภ.จ. พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ภักดีณรงค์ ผกก.สภ.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แถลงข่าวจับกุม น.ส.คนธนันท์ หรือสาว บิลพัฒน์ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60/306 หมู่ 15 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆรวม 4 เครื่อง บัตรเอทีเอ็มวีซ่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา 3 ใบ บัตรเอทีเอ็มธนาคารไทยพาณิชย์ 2 ใบ บัตรเอทีเอ็มวีซ่าธนาคารกสิกรไทย 2 ใบ บัตรสมาชิกส่วนลดร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและเครื่องสำอาง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง

พล.ต.ต.ชิษณุพงศ์ ยุกตะทัต ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากตำรวจ สภ.ราชาเทวะ ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายเป็นหญิงสาวจำนวนหลายราย ว่าได้มีการเล่นอินเตอร์เน็ตพูดคุยกับเพื่อนชายชาวต่างชาติ ผ่าน "เฟซบุ๊ก" และโปรแกรม "MSN" จนสนิทสนมก่อนมีการนัดแนะพบเจอกันที่ประเทศไทย

โดยฝ่ายชายให้เดินทางมารับที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่เมื่อหญิงสาวเหล่านี้ไปถึงสนามบินกลับไม่พบตัวฝ่ายชาย ระหว่างนั้นจะมีผู้หญิงหรือผู้ชายทำทีโทรศัพท์เข้ามือถือของผู้เสียหาย อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรและเจ้าหน้าที่การท่าฯว่ามีการกักตัวเพื่อนชายชาวต่างชาติเอาไว้ เนื่องจากเอกสารและคุณสมบัติการเข้าประเทศไม่ครบถ้วน พร้อมกับแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่าหากต้องการให้เดินเรื่องเพื่อปล่อยตัวเพื่อนชายชาวต่างชาติ ให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ในวงเงินตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อยอมโอนเงินไปให้ แต่หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ สอบถามเจ้าหน้าที่การท่าฯจึงทราบว่าถูกหลอก พากันเข้าแจ้งความตำรวจ

ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการเปิดเผยอีกว่า ต่อมาตำรวจตรวจเช็กพบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีให้กับผู้หญิง 3 รายคือ น.ส.อมรรัตน์ ผลอินทร์ น.ส.วไลพร พงษ์ประยูร น.ส.สุภาพร สุทธิมาศ โดยมี น.ส.คนธนันท์เป็นผู้นำบัตรเอทีเอ็มของคนทั้ง 3 ไปใช้ตระเวนถอนเงินจากตู้กดเงินด่วนที่ประเทศมาเลเซียหลายครั้งติดต่อกัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา น.ส.คนธนันท์ใช้บัตรกดเงินอีกครั้งที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกสิกรไทยย่านบางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ 10,000 บาท ตำรวจติดตามจับกุมไว้ได้ ในขณะที่ พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ภักดีณรงค์ ผกก.สภ.ราชาเทวะ กล่าวเสริมว่า เชื่อว่า น.ส.คนธนันท์อยู่ในกลุ่มเดียวกับแก๊งต้มตุ๋นข้ามชาติ คนกลุ่มนี้จะอยู่ต่างประเทศ แต่ใช้วิธีโทรศัพท์กลับมายังประเทศไทยหลอกให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชี และจากการตรวจสอบพบว่า น.ส.คนธนันท์กดเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่ประเทศมาเลเซียมากกว่า 50 ครั้ง การกระทำลักษณะนี้คล้ายกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนและไต้หวัน ที่อาละวาดอยู่ในเมืองไทย แต่ต่างกันตรงที่วิธีการหลอกลวงผู้เสียหายเท่านั้น มีผู้ตกเป็นเหยื่อนับ 100 ราย สูญเงินไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท

ด้าน น.ส.คนธนันท์ หรือสาว บิลพัฒน์ ให้การว่า ทำงานเป็นสาวบาร์เบียร์ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งย่านพัทยา คบหาเป็นแฟนกับนายปริ๊นซ์ ไม่ทราบนามสกุล อายุ 40-45 ปี ผิวสี ชาวแอฟริกาใต้ โดยนายปริ๊นซ์จะชักชวนไปเที่ยวประเทศมาเลเซียเป็นประจำ พร้อมกับมอบบัตรเอทีเอ็มให้ไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็มในมาเลเซียหลายครั้ง โดยที่ตนไม่ทราบว่าเป็นบัตรเอทีเอ็มของใคร นายปริ๊นซ์จะให้ค่าจ้างครั้งละ 1,000-2,000 บาท ตระเวนกดเงินมาแล้วทั้งในมาเลเซียและในเมืองไทยไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง วงเงินที่กดแต่ละครั้ง 10,000-30,000 บาท ปัจจุบันเลิกรากับนายปริ๊นซ์นานหลายเดือนแล้ว ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม คำให้การของ น.ส.คนธนันท์ ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ควบคุมตัวดำเนินคดีและจะขยายผลจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งต่อไป

สุนัขบางแก้ว เจ้ามอมพันธุ์นักสู้แห่งเมืองสองแคว

สุนัขพันธุ์บางแก้ว   เริ่มมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ประมาณปี  2529   ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับว่าเป็นสุนัขไทยที่เข้าฝึกกับทางทหาร   ฝึกยุทธวิธีไปจนถึงฝึก
กระโดดร่มเพื่อลงพื้นที่ลาดตระเวนร่วมกับทหาร   ในคราวนั้นได้สร้างความฮือฮาให้กับบรรดาคนขอบเลี้ยงสุนัขเป็นอย่างยิ่ง   ว่าสุนัขไทยเรากำลังจะเทิร์นโปร เทียบ
กับสุนัขเมืองนอก   ซึ่งในสมัยนั้นสุนัขที่ฉลาดและกล้าหาญขนาดนั้นต้องเป็นสุนัขฝรั่งตัวโต ๆ   ราคาหลาย ๆ   หมื่นบาท
 

      
สุนัขพันธุ์บางแก้ว   เป็นสุนัขไทยแท้ ๆ   หน้าตาบ้องแบ้ว    ขนปุยน่ารัก    เหมือนสุนัขไทยพันธุ์   Mid-road (ข้างถนน) ทั่วๆ ไป   แต่ด้วยสายพันธุ์ที่สืบทอด
มาจากสุนัขป่าจึงทำให้สุนัขพันธุ์บางแก้วมีความดุ    รูปร่างของสุนัขบางแก้วถึงแม้จะเป็นพันธุ์ไทย    แต่จะมีรูปร่างที่ใหญ่   บึกบึน   ในขณะที่ยืนหรือเดินจะดูน่า
เกรงขาม พร้อมที่จะเข้าประจัญบานกับผู้ที่ ประสงค์ร้ายในทุกขณะ


 สุนัขพันธุ์บางแก้ว   มีต้นกำเนิด   ตำบลบางแก้ว   อำเภอบางระกำ   จังหวัดพิษณุโลก   ซึ่งเป็นอำเภอที่ราบแถบลุ่มแม่น้ำยม   และมีน้ำท่วมถึงในทุกๆ   ปี
ีจึงไม่แปลกที่สุนัขพันธุ์บางแก้วจะเป็นสุนัขที่มีความผูกพันธ์กับน้ำเป็นพิเศษ   เรียกได้ว่าถ้าเป็นน้ำเมื่อใดก็ต้องกระโจนลงไปดำผุดดำว่ายให้สนุกสนานบันเทิง
เป็นทุกที

          นอกจากนั้นสุนัขพันธุ์บางแก้วยังมีความสามารถในการล่าเป็นพิเศษอีกด้วย   หากสุนัขบางแก้วเตรียมการจะล่าสัตว์ตัวใด   สุนัขพันธุ์บางแก้วจะคลุกตัว
กับพื้นให้เนื้อตัวมอมแมม    ให้กลิ่นของสิ่งแวดล้อมติดตัวเพื่อกลบกลิ่นของนักล่าในตนเอง   เรียกได้ว่าพรางตัวจนเนียน   แล้วจึงค่อยๆ   ย่องออกไปล่าเหมือน
กับนักฆ่าที่ถูกฝึกเอาไว้แล้วเป็นอย่างดี   ในยามนอน   สุนัขพันธุ์บางแก้วจะเอาหูแนบพื้นเพื่อคอยฟังเสียงแปลกปลอม   เพื่อคอยเตรียมการต่อต้านการรุกราน
จากภายนอก   โดยสุนัขพันธุ์บางแก้วสามารถที่จะแยกยแะเสียงฝีเท้า   ว่าเป็นมิตร   หรือเป็นศัตรู   หรือเสียงอื่นๆ   ได้อย่างชำนาญการ


โทษที่รุนแรงที่สุดในลาวถึงขั้นประหารชีวิตมี ๓ อย่าง


โทษที่รุนแรงที่สุดในลาวถึงขั้นประหารชีวิตมี ๓ อย่าง
๑. ประท้วงรัฐบาล มีโทษประหารชีวิต ๗ ชั่วโคตร นี้ยังใช้แบบปกครองโดยกษัตริย์อยู่ ก็ดีไม่วุ่นวายดี
๒. ข่มขืนผู้หญิง ข่มขืนเฉยๆนะครับไม่ได้่ฆ่าด้วย โทษตายอยางเดียว ดังนั้นลาวอยู่ใกล้ๆไทย จึงไม่มีข่าวข่มขืนกันครับ แต่ไทย ขมขืนเด็กยังไม่ประหารเลย
๓.สาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้าจับได้ ๕๐ เม็ดขึ้นไปตายอย่างเดียว ดังนั้นคนลาวจึงชอบขนมาขายเมืองไทย จับได้เป็นพันเม็ดก็ไม่ประหาร

สรูปแล้ว ลาวปลอดภัย แต่ไทย มีแต่ภัย เพราะความอ่อนแอของคนรักษากฎหมาย

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตลาดการค้าช่องจอม จ.สุรินทร์

ตลาดการค้าช่องจอม เดิมอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยทับทัน-ห้วยสำราญและประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2538 ฝั่งตรงข้ามด้านกัมพูชาเป็นชุมชนโอร์เสม็ด อำเภอสำโรง จังหวัดอุดรมีชัยช่องจอมเป็นเส้นทางข้ามแดนที่ใหญ่และสะดวกที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ที่จะไปยังกัมพูชา ทำให้มีการติดต่อสัญจรไปมาและซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชาวไทยและกัมพูชามาเป็นเวลาช้านาน และเป็นที่มาของแนวความคิดในการเปิดจุดผ่านแดนเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ


ตลาดแห่งนี้เปิดทำการค้าขายและสัญจรไปมาเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 8.00-16.00 น. (อนุญาตให้ข้ามแดนเฉพาะคนไทยเท่านั้น) ประเภทสินค้ามีทั้งสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และสิ่งประดิษฐ์จากไม้ เช่น ม้านั่ง หัตถกรรมไม้ เสื่อสานไม้ไผ่ ตะกร้าสานต่าง ๆ

ข้อมูลเพื่อการเดินทางไปตลาดการค้าช่องจอม

ตลาดการค้าช่องจอมตั้งอยู่ที่บ้านด่านพัฒนา ตำบลด่าน ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ 69 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวอำเภอกาบเชิง 13 กิโลเมตร

สีบอกนิสัย

สี-บอก-นิ-สัย
ลองดูตามวันเกิดนะคะ เกิดวันไหนเดือนไหน แล้วจะบอกเองว่าคุณเป็นสาวสีอะไร


เกิดวันที่ 23ธันวาคม - 1มกราคมและ 25มิถุนายน - 4 กรกฎาคม


เกิดวันที่ 24 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ และ 26กรกฎาคม -4 สิงหาคม


เกิดวันที่ 2 - 11 มกราคม และ 5 -14 กรกฎาคม


เกิดวันที่ 12-23 มกราคม และ 15-25 กรกฎาคม


เกิดวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ และ 5-13 สิงหาคมและ 1-14 พฤษภาคม


เกิดวันที่ 19-28 กุมภาพันธ์ และ 24 สิงหาคม -2 กันยายน


เกิดวันที่ 9-18 กุมภาพันธ์ และ 14-23 สิงหาคม


เกิดวันที่ 1-10 มีนาคม และ 3-12 กันยายน


เกิดวันที่ 11-20 มีนาคม และ 13-22 กันยายน


เกิดวันที่ 21 มีนาคม


เกิดวันที่ 23 กันยายน


เกิดวันที่ 22-31 มีนาคม และ 24 กันยายน - 3 ตุลาคม


เกิดวันที่ 11-20 เมษายน และ 14-23 ตุลาคม


เกิดวันที่ 1-10 เมษายน และ 4-13 ตุลาคม


เกิดวันที่ 21-30 เมษายน และ 24 ตุลาคม - 11 พฤศจิกายน


เกิดวันที่ 25 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน และ 22 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม


เกิดวันที่ 15-24 พฤษภาคม และ 12-21 พฤศจิกายน


เกิดวันที่ 4-13 และ 24 มิถุนายน และ 2-11 ธันวาคม


เกิดวันที่ 14-23 มิถุนายน และ 12-22 ธันวาคม

สาวสีแดง
เกิดวันที่ 23ธันวาคม - 1มกราคมและ 25มิถุนายน - 4 กรกฎาคม
คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักเลยมักจะตกหลุมรักบ่อยๆ และคุณก็ชอบที่จะเป็นอย่างนั้นซะด้วยคุณเป็นคนที่สดใสร่าเริง แต่ก็มีโวยวายบ้างในบางครั้ง งานที่คุณถนัดคืองานที่เทคแคร์ผู้คน จงภูมิใจเถิดว่าคุณเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด สำหรับผู้ชายที่คุณชอบคือผู้ชายไม่เรื่องมาก และทำให้คุณสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเขา

สาวสีชมพู
เกิดวันที่ 24 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ และ 26กรกฎาคม -4 สิงหาคม
สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีที่สุด เป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ คุณไม่ใช่คนที่พอใจอะไรง่ายๆและออกจะมองโลกในแง่ลบสักหน่อย และคุณเฝ้ารอใครบางคนที่จะทำชีวิตรักของคุณเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย

สาวสีส้ม
เกิดวันที่ 2 - 11 มกราคม และ 5 -14 กรกฎาคม
คุณมีความรับผิดชอบต่องานและรู้วิธีการจัดการกับคนที่คุณทำงานด้วย คุณมักเป็นคนเอาจริงเอาจัง มีจุดมุ่งหมายในชีวิตและเป็นนักสู้ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ คุณออกจะเป็นผู้หญิงที่เชื่อคนยากสักหน่อย แต่เมื่อคุณเจอตัวจริง คุณจะเชื่อใจเขาตลอดไป

สาวสีเหลือง
เกิดวันที่ 12-23 มกราคม และ 15-25 กรกฎาคม
เจอแล้วสาวหวานตัวจริง แถมไร้เดียงสาอีกต่างหาก ไว้ใจคนง่ายและมักจะเป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อน คุณมักจะตัดสินใจอะไรเองได้เสมอ และมักจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยสิ และที่สำคัญคุณใฝ่ฝันที่จะพลรักที่สุดแสนจะโรแมนติก

สาวสีฟ้า
เกิดวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ และ 5-13 สิงหาคมและ 1-14 พฤษภาคม
คุณไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนัก อ่อนไหว และมีความเป็นศิลปินสูง และชอบที่จะรักคนอื่น เรียกได้ว่าเสพติดความรักที่เดียวแหละ มีบ่อย ๆ ที่คุณทำให้ความรักหลุดลอยไปเพราะคิดมักจะรักด้วยความรู้สึก

สาวสีน้ำตาล
เกิดวันที่ 19-28 กุมภาพันธ์ และ 24 สิงหาคม -2 กันยายน
คุณนี่แหละเป็นผู้หญิง Hyper ของแท้ กระฉับกระเฉง และ Active ตลอดเวลา และคุณเป็นเพื่อนกับคนยาก แต่เป็นแฟนกับคนง่าย ไม่ใช่ใจง่าย แต่คุณชอบที่จะรักคนอื่นมากกว่า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกผิดหวังกับอะไร คุณก็ยินดีจะหันหลังให้กับมันและยิ้มกับชีวิตตัวเองอย่างรวดเร็ว

สาวสีเขียว
เกิดวันที่ 9-18 กุมภาพันธ์ และ 14-23 สิงหาคม
คุณคือผู้หญิงที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆได้ดี บางครั้งคุณเป็นคนเงียบขรึม แต่ก็พูดต3คุณออรงจนบางทีทำร้ายความรู้สึกคนอื่นเพราะคำพูดของคุณ คุณชอบที่จะเป็นที่รัก ดังนั้น บ่อยๆ ที่คุณจะคิดค้นวิธีน่ารักๆ เรียกร้องความสนใจจากคู่รักของคุณ แต่โดยส่วนใหญ่ คุณมักจะใช้ชีวิตโสด และคุณเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องเนื้อคู่เอามากๆ ถ้าคุณแต่งงานคุณจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและรักเดียวใจเดียว

สาวสีน้ำทะเล
เกิดวันที่ 1-10 มีนาคม และ 3-12 กันยายน
สาวน้ำทะเลนี่แหละ สาวเจ้าอารมณ์ คุณจะเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ทุกๆ 3 นาที รักการท่องเที่ยวและเป็นคนขี้เหงาเอามากๆ คุณเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ก็เชื่อคนง่าย เป็นคนที่ค่อนข้างจะผิดหวังในเรื่องความรักเอามากๆ และมักเสียความรักไปอย่างง่ายๆ

สาวสีเขียวมะนาว
เกิดวันที่ 11-20 มีนาคม และ 13-22 กันยายน
คุณคือภูเขาไฟย่อยๆ เลยล่ะ เพราะเมื่อคุณเฉย คุณจะเป็นผู้หญิงเงียบๆ แต่ถ้าโมโหก็เอาไม่อยู่เหมือนกันออกจะขี้หึงนิดๆ และขี้บ่นหน่อยๆ คุณไม่ใช่คนที่ยึดติดกับอะไร แต่คุณมีบุคลิกพิเศษที่ทำให้ผู้คนมักจะเชื่อถือคุณ และเป็นที่นิยมชมชอบเสมอ

สาวสีดำ
เกิดวันที่ 21 มีนาคม
คุณคือผู้หญิงที่ชอบความท้าทายชนิดน่าหวาดเสียวทีเดียว แต่ภายในใจลึกๆ คุณไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ถ้าคุณตัดสินใจดำเนินชีวิตอย่างไร คุณก็จะใช้ชีวิตอย่าง3คุณออนั้นเป็นเวลานานกว่าจะเปลี่ยน ชีวิตรักของคุรจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นและมีอะไรแปลกๆ ประเภท Surprise อยู่เสมอ

สาวสีเขียวมะกอก
เกิดวันที่ 23 กันยายน
สาวแสนอบอุ่นตัวจริง แต่บางครั้งคุณก็เป็นคนใจอ่อนเกินไป มักจะโอนอ่อนผ่อนตามครอบครัวหรือเพื่อนๆ เสมอ อย่างไรก็ตาม คุณเป็นผู้หญิงที่รู้จักตัวเอง รู้จักอะไรผิดอะไรถูก จิตใจดี ร่าเริงแจ่มใส และไม่ใช่คนขี้อิจฉาแน่นอน

สาวสีม่วง
เกิดวันที่ 22-31 มีนาคม และ 24 กันยายน - 3 ตุลาคม
คุณนี่แหละแม่สาวเจ้าอารมณ์ แต่เพราะความเจ้าอารมณ์นี่เองที่ทำให้คุณเป็นคนน่าค้นหา เสแสร้งไม่เป็น คุณมักจะเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ประจำกลุ่ม แต่ก็มีบ่อยๆ ที่คุณครองตำแหน่งสาวเอ๋อประจำกลุ่มด้วยเหมือนกัน เพราะคุณมักทำเปิ่นๆ เสมอ ขี้ลืมในบางครั้ง ผู้ชายในฝันของคุณจะต้องเป็นคนที่ดูแล้วน่าเชื่อถือ

สาวสีเงิน
เกิดวันที่ 11-20 เมษายน และ 14-23 ตุลาคม
คุณนี่แหละสาวจินตนาการสูง ขี้อาย แต่ก็ชอบหาสิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต คุณชอบทำอะไรที่ท้าทายความสามารถ เป็นคนเรียนรู้เร็ว ชอบอะไรที่ได้มายากๆ ความรักของคุณมักจะมีเรื่องยากๆ ให้แก้ และสับสนตลอดเวลา

สาวสีเขียวทหาร
เกิดวันที่ 1-10 เมษายน และ 4-13 ตุลาคม
คุณคือผู้หญิงที่น่าสนใจและรักการใช้ชีวิตของตัวเอง อารมณ์อ่อนไหว และมักรู้สึกกับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบรอบๆ ตัว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่อะไรใกล้ๆ ตัว มักทำลายสมาธิคุณเสมอ แต่คุณก็น่ากลัวใช่ย่อยเหมือนกัน เพราะเมื่อคุณโกรธใคร จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คุณจะยกโทษให้เขาคนนั้น

สาวสีขาว
เกิดวันที่ 21-30 เมษายน และ 24 ตุลาคม - 11 พฤศจิกายน
คุณมีฝันและเป้าหมายแน่นอนให้ชีวิตบางครั้งคุณเป็นคนขี้อิจฉา และไม่ยอมทำอะไรซ้ำเดิม หรือเรียกว่าใจแข็งก็ว่าได้ คุณเป็นคนที่มีความแตกต่างในตัวเองสูง และมักตั้งความหวังไว้กับคนรอบข้างสูงเช่นกัน

สาวสีครีม
เกิดวันที่ 25 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน และ 22 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม
คุณมักจะเป็นผู้หญิงนักสู้ในหมู่เพื่อนๆ ชอบการแข่งขันการเอาชนะ มีความทะเยอทะยาน น่าเชื่อถือ ตกหลุมรักยากมาก เพราะคุณเป็นคนเชื่อเรื่องรักแท้ ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าหากคุรเจอผู้ชายที่ถูกใจแล้ว คุณจะรักเขานานแค่ไหน

สาวสีทอง
เกิดวันที่ 15-24 พฤษภาคม และ 12-21 พฤศจิกายน
คุณรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ร่าเริงแจ่มใส ทะเยอทะยาน เป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่จะหาคนถูกใจ แต่เมื่อไหร่ที่คุณเจอคนถูกใจ คุณจะติดกับอยู่กับเขาไปนานแสนนาน

สาวสีเทา
เกิดวันที่ 4-13 และ 24 มิถุนายน และ 2-11 ธันวาคม
คุณคือผู้หญิงที่มีความดึงดูดทางเพศสูง และมีความ Active สูงด้วย จริงใจ จนบางครั้งคุณเป็นคนเก็บอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ชอบเรียกร้องความสนใจ และเกลียดผู้ชายที่ไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย อย่างไรก็ตาม คุณคือผู้หญิงที่คารมดี สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุข ที่สำคัญคุณมีอารมณ์ขันจนคนขำกลิ้งทีเดียว

สาวสีเลือดหมู
เกิดวันที่ 14-23 มิถุนายน และ 12-22 ธันวาคม
คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และมักจะจัดการปัญหาต่างๆ ตามวิธีการของคุณออกเผด็จการหน่อยๆ ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นในตัวเอง
และไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกคนอื่นส่วนในเรื่องความรักคุณเป็นคนป่วยโรคฝังใจในรักเ ก่าขั้นโคม่าที่เดียว

ดอกไม้ประจำราศี

ดอกเบญจมาศ เป็นดอกไม้ประจำราศีมังกร ผู้ที่เกิดระหว่าง 22 ธ.ค.-19 ม.ค.
เป็นดอกไม้ตัวแทนชนชั้นสูง ราชวงศ์ หรือกษัตริย์ ทนนานและมีพลังฉลาดแฝงอยู่มากเป็นพิเศษ คนราศีมังกรจึงเต็มไปด้วยความฉลาด มีความคิดวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เป็นดอกไม้แห่งความสำเร็จจึงมักจะมีผู้ให้การช่วยเหลือหรืออุปถัมภ์ตลอด

อย่างที่บอกแล้วว่าเป็นนักวางแผนที่ดี มีการวางแผนด้านการเงินเป็นเลิศ จึงเหมาะกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ อาชีพที่เหมาะคือ วิศวกร สถาปนิก ผู้ผลิตรายการสื่อต่าง ๆ งานเกี่ยวกับการเงิน ด้านความรักเป็นคนที่จริงใจและซื่อสัตย์ เพราะคนราศีมังกรจะเป็นพวกหัวอนุรักษนิยมเกี่ยวกับประเพณีและความเชื่อมาก


ดอกกล้วยไม้ เป็นดอกไม้ประจำราศีกุมภ์ ผู้ที่เกิดระหว่าง 20 ม.ค.-18 ก.พ.
กล้วยไม้เป็นไม้ที่ต้องการการดูแลอย่างดี เป็นตัวแทนของการเอาใจใส่ดูแลอย่างลึกซึ้ง กล้วยไม้มักจะถูกจัดไว้ในที่ที่โดดเด่นโดยมี ดอกไม้อื่นแวดล้อม ชาวราศีกุมภ์จึงเต็มไปด้วยการเอื้ออาทรผู้คนรอบข้าง มีความฉลาดในตัวเอง รักธรรมชาติ ใจกว้าง

ชาวราศีกุมภ์จะชอบสิ่งของไฮเทค จึงเหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โทรทัศน์ นักเขียน ศิลปิน อีกด้านก็สนใจเรื่องศาสนา ประวัติศาสตร์ และของโบราณ เขาสามารถผสมผสานศาสตร์เก่าและใหม่เข้ากันได้อย่างดี ด้านความรักจะชอบยึดมั่นในคำสัญญา ซื่อสัตย์และจงรักภักดีมาก


ดอกคาร์เนชั่นแดง เป็นดอกไม้ประจำราศีมีน ผู้ที่เกิดระหว่าง 19 ก.พ.-20 มี.ค.
เป็นตัวแทนของศิลปิน เป็นดอกไม้แห่งความฝันอันลึกลับ มีความคิดจินตนาการสูง อาชีพที่เหมาะสมจะเป็นพวกนักแสดง นักเขียน จิตกร นักแต่งเพลง นักวิจารณ์อาหาร นักสังคมสงเคราะห์

คนราศีมีนมีอารมณ์ปรวนแปรง่าย ด้านความรักก็มักจะอ่อนไหว อารมณ์รักปรวนแปรแต่ก็เขาก็เป็นคนมีเส่นห์เร้าใจใช่เล่น มีความชอบส่วนตัวในเรื่องศาสนา และมีสัมผัสพิเศษด้านจิตวิญญาณ หรือ มีสัมผัสที่ 6


ดอกลิลลี่ เป็นดอกไม้ประจำราศีเมษ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 มี.ค.-19 เม.ย.
ลิลลี่เป็นดอกไม้แห่งความโดดเด่นและการเป็นผู้นำ นับเป็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่มักจะถูกวางไว้ในจุดที่สูงส่ง แต่ถึงแม้จะอยู่ในจุดที่ไม่สูงนักแต่ความเด่นของดอกลิลลี่ก็มักจะเป็นจุดสนใจเสมอ เหมือนกับคนราศีเมษที่จะมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น

นักบริหารธุรกิจ นักแสดง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ หรือนักประดิษฐ์คิดค้นต่าง ๆ เป็นอาชีพที่เหมาะสมกับคนราศีเมษ ด้านความรักเป็นคนโรแมนติก ชอบการครอบครองและเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ


ดอกลีลาวดี เป็นดอกไม้ประจำราศีพฤษภ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 20 เม.ย.-20 พ.ค.
บุคลิกของดอกลีลาวดีคือการรอคอยสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง มีการคิดและวางแผนระยะยาวอย่างรอบคอบและสุขุม รักสงบและมองโลกในแง่บวก จึงเป็นคนโกรธยากและมีความจำเป็นเลิศ

คนราศีพฤษภจะใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและเป็นนักลงทุนที่ดี เหมาะที่จะทำอาชีพแพทย์ สถาปนิก วิศวกร โบรกเกอร์หุ้น มัณฑนากร เขาเป็นพวกชอบความงามตามธรรมชาติและมีสัมผัสพิเศษในเรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ส่วนเรื่องความรักจะเป็นคนรักษาสัญญา เห็นอกเห็นใจและปกป้องคู่รักดี


ดอกเล็บมือนาง เป็นดอกไม้ประจำราศีเมถุน ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 พ.ค.-20 มิ.ย.
เล็บมือนางเป็นดอกไม้ที่มีความงามเฉพาะตัว มีเสน่ห์แบบง่าย ๆ คนราศีนี้จึงมีความคิดเปิดกว้างและยืดหยุ่นสูง อาชีพที่เด่นและเหมาะที่สุดคือการเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักดนตรี ศัลยแพทย์ ช่างภาพ นักกวีและงานที่เกี่ยวกับศิลปะทุกชนิด

แต่คนราศีเมถุนเป็นพวกรสนิยมสูงรายได้ต่ำ จึงมักจะสร้างหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่บ่อยครั้ง ด้านความรักเป็นคนอ่อนไหวง่าย ชอบหว่านเสน่ห์และเจ้าชู้ เนื่องจากชอบความรักแบบตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา


ดอกบัว เป็นดอกไม้ประจำราศีกรกฎ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 มิ.ย.-22 ก.ค.
จัด เป็นดอกไม้แสนสวย อ่อนหวานและสงบ เรียบร้อย เป็นระเบียบ แต่ก็มักจะจมปลักอยู่กับความฝันอันสวยงามที่วาดขึ้นโดยไม่ยอมตื่น ขึ้นมาพบกับความจริงของชีวิต และมักจะคาดหวังสูง ให้ความใส่ใจในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

เป็นคนไม่ชอบความฟุ่มเฟือยนัก แต่หากเป็นเรื่องของการตกแต่งบ้านชาวดอกบัวจะยอมทุ่มไม่อั้น อาชีพที่เหมาะสมคือ นักจิตวิทยา นักลงทุนในตลาดหุ้น หรืองานที่ช่วยประสานงานโครงการต่าง ๆ ด้านความรักเป็นคนโรแมนติก รักคนยาก แต่ถ้าลองได้รักแล้วก็จะซื่อสัตย์มาก ชอบความรักแบบไม่หวือหวาโลดโผน


ดอกทานตะวัน เป็นดอกไม้ประจำราศีสิงห์ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ก.ค.–22 ส.ค.
ดอกทานตะวันจะเต็มไปด้วยความเป็นมิตร ร่าเริง สนุกสนาน ชาวราศีสิงห์ยังเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจจากใคร เพราะเขาต้องการแสวงหาความสุขใส่ตัวมากกว่าการต้องระวังตัวท่ามกลางคนหมู่มาก

เป็นคนรักและชื่นชอบธรรมชาติ แต่ดันชอบของฟุ่มเฟือย อาชีพที่เหมาะสมคือการเป็นนักเขียน ทนายความ นักพูด ส่วนความรักมักจะไม่ชอบการผูกมัด แต่ชอบแสดงออกเรื่องรักและเป็นคนโรแมนติก เรียกว่าเป็นคนเจ้าชู้เล็ก ๆ ก็ว่าได้


ดอกทิวลิป เป็นดอกไม้ประจำราศีกันย์ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ส.ค.-22 ก.ย.
ดอกทิวลิปเป็นตัวแทนของความนิ่มนวล และการถูกขัดเกลาอย่างดี ชาวราศีกันย์จึงเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าคนในราศีใด ๆ ชอบเห็นใจผู้อื่น และฉลาดหลักแหลม นอกจากนี้ยังเจ้าระเบียบ และตรงต่อเวลาอย่างมาก

จุดเด่นอีกอย่างที่เป็นที่อิจฉาของใคร ๆ ก็คือเป็นคนที่เก็บเงินเก่ง อาชีพที่เหมาะ คือ แพทย์ บรรณารักษ์ นักวิจารณ์ละครและงานศิลปะ สำหรับเรื่องความรักนั้นจะเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน


ดอกกุหลาบ เป็นดอกไม้ประจำราศี ตุล ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ก.ย.–22 ต.ค.
กุหลาบเป็นดอกไม้ที่ประณีต สวยงาม โดดเด่น คนราศีตุลจึงมีเสน่ห์ในวงสนทนาเป็นพิเศษ แต่เขาไม่ใช่คนมีระเบียบมากนัก อาจจะรกรุงรังมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ

นักดนตรีระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก มัณฑนากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ เป็นอาชีพที่เหมาะสมกับคนราศีนี้ที่สุด เขายังเป็นคนมีความเชื่อด้านความรักอย่างลึกซึ้ง ความรักของเขาจึงเต็มไปด้วยความโรแมนติกและอ่อนหวาน แต่ก็ให้อิสระด้านความคิด


ดอกกระบองเพชร เป็นดอกไม้ประจำราศีพิจิก ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ต.ค.-21 พ.ย.
ดอกกระบองเพชรมีความลึกลับทั้งด้านการเกิดและกลีบดอก ชาวดอกกระบองเพชรจึงมีความลับเยอะ และสิ่งนี้ที่ส่งให้เขามีเสน่ห์น่าค้นหาตลอดเวลา เป็นคนเงียบ ๆ เก็บงำเรื่องราวของตนเองไว้โดยไม่บอกให้ใครรู้ ไม่ชอบออกงานสังคม

เขาเหมาะที่จะทำอาชีพนักโบราณคดี ทนายความ ที่ปรึกษาการลงทุน เภสัชกร ศัลยแพทย์ ด้านความรักจะเป็นคนเข้มงวดมาก เจ้าอารมณ์ แต่ก็มีความอ่อนไหวและลึกซึ้ง เขายังมีเสน่ห์ดึงดูดใจเรื่องบนเตียงเป็นอย่างมาก แถมยังเป็นคู่รักที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความปรารถนา


ดอกเบิร์ด ออฟ พาราไดส์ เป็นดอกไม้ประจำราศีธนู ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 22 พ.ย.–21 ธ.ค.
ผู้เกิดราศีนี้จะมีความสนุกสนานในชีวิต ชีวิตเต็มไปด้วยความพยายามและทะเยอทะยาน แต่ก็มีอารมณ์ผ่อนคลายและยืดหยุ่น จึงเป็นคนมองโลกในแง่ดี

เขาจึงเหมาะที่จะเป็นนักเดินทาง นักวาดการ์ตูน นักแสดงตลก นักการเมือง สัตวแพทย์ และนักบิน ด้านความรักจะเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว มีความซื่อสัตย์ในรัก และชอบการผจญภัย.

พระพุทธเจ้า


  "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ
          พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

          ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)
          ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

          ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

 ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

          เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

          เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"

 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช


วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา
          ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


 ประวัติพระพุทธเจ้า : บำเพ็ญทุกรกิริยา

          หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

          จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์
          หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


 ประวัติพระพุทธเจ้า : ตรัสรู้


ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

          ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

          ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

          ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : แสดงปฐมเทศนา          หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

          ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

          ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
          หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
          ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

          พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
          หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

 






พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว   อานนท   ธมม  จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต  โส  โว  มมจจเยน  สตถา" อันแปลว่า  "ดูก่อนอานนท์  ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว  บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย  ธรรมวินัยนั้น  จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย  เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

          พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก  ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

          ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต) 
          จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช

ประวัติAirCard

            มาทำความรู้จัก AirCard กันดีกว่า






นับเป็นอีกทางเลือกใหม่ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต สำหรับนักธุรกิจ นักการขายทุกท่าน ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบตลอดเวลา ทุกสถานที่ โดยไม่คำนึงถึงว่าจะต้องมีระบบ Dial-up, ADSL หรือ Leased Line และแม้กระทั่งการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรูปแบบ ผ่านทางดาวเทียม ของค่าย CS-Loxinfo ที่ใช้ชื่อว่า IPStar

ทำความรู้จัก AirCard คืออะไร
AirCard เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรูปแบบหนึ่ง ส่วนใหญ่ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพา จำพวก Laptop, Notebook หรือ Netbook เป็นต้น การเชื่อมต่อคล้ายกับการต่อแบบ Dial-up แต่เป็นการเชื่อมต่อผ่านซิมโทรศัพท์มือถือ โดยมีการคิดค่าใช้จ่ายแบบ Package หรือจะเหมาจ่ายก็ได้ โดยการเชื่อมต่อสัญญาณจะใช้ GPRS หรือ EDGE ดังนั้น ถ้าที่ใดมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ นั่นแสดงว่า สามารถใช้ AirCard ได้ด้วยเช่นกัน

สำหรับตัวอุปกรณ์นี้จะแบ่งการเชื่อมต่อออกได้ 2 ประเภท
1. เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB
2. เชื่อมต่อผ่านพอร์ต PCMCIA

AirCard ความเร็วเป็นอย่างไร
ความเร็ว … มีหลายระดับ ถ้าเอาแบบระดับกิโลไบท์ ก็ราคาถูกหน่อย ไม่ว่าจะซื้อแบบที่ความเร็วสูงแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นกับเครือข่ายในบ้านเรา
วิ่งได้สูงสุดถึง 460 kb แต่จริงๆ แล้ว มันแล้วแต่วัน เวลา สถานที่ เท่าที่เล่นอยู่แต่ก็ถือว่าดีกว่าเน็ตบ้านที่วิ่งได้ 45.5 kb

AirCard มีข้อดีจริงหรือ?
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพียงแต่ว่าเรามีความต้องการแค่ไหน

ข้อดี
1. พกพาสะดวก เล่นที่ไหนก็ได้ที่มีคอม
2. ความเร็วปานกลาง
3. ใช้ได้ทั้ง note book และ pc

ข้อเสีย
1. ความเร็วสู้อินเตอร์เน็ต hi-speed ไม่ได้ แต่ดีกว่าเน็ตบ้าน(เน็ตองค์การโทรศัพท์อ่ะนะ) แน่นอน
2. ความเร็วแต่ละวันไม่คงที่
3. ชนบทสัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึง

ราคาของ AirCard ล่ะ?
ราคามีตั้งแต่หลักพัน ขึ้นจนถึงหลักหมื่น
ปล. ของแพงก็คงมีอะไรที่ดีกว่าของถูก แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าจะใช้มันทำอะไรบ้าง ถ้าใช้ search ข้อมูล โหลดไฟล์เล็กๆ อันนี้พอไหว แต่ถ้าเอามาโหลดหนังไฟล์ใหญ่ ๆ ก็คงใช้เวลานาน

ขั้นตอนใช้งานล่ะ?
ไม่มีคำว่ายุ่งยากอีกต่อไป เพียงแค่
1. เตรียม Sim Card โทรศัพท์ค่ายใดก็ได้ที่สามารถใช้บริการ GPRS/EDGE
2. ใส่ Sim Card ลงไปใน USB EDGE Modem
3. นำ USB EDGE Modem เสียบเข้ากับ Computer
4. USB EDGE Modem จะทำการ AUTO install driver และ AUTO Connect Network เอง [อาจแตกต่างไปบ้างสำหรับบางค่ายโทรศัพท์]
5. ONLINE

ประเพณีแซนโดนตา

สุรินทร์สานประเพณี"แซนโดนตา"



วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ในอีกไม่กี่เดือน ที่จะถึงนี้เทศกาลอันเป็นงานบุญของชาวไทยเขมรที่ยิ่งใหญ่ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
นั่นก็คือ เทศกาลงานบุญประเพณีแซนโดนตา หรือประเพณีเซ่นผีปู่ตาในเดือนสิบ
หรือถ้าเรี่ยกกันแบบเต็มๆตามชื่อเรี่ยกของชาวไทยเขมรว่า แซนโดนตาแคเบ็น
หมายถึง การเซ่นผีปู่ตาเดือนสิบหรืองานบุญสารทเดือนสิบนั่นเอง
ซึ่งชาวไทยเขมรทุกที่ทั่วระแหงไม่ว่าในไทยหรือฝั่งกัมพูชาจะต้องประกอบกิจประเพณี
พิธีกรรมงานบุญนี้เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วเป็นประจำทุกปี
งานแซนโดนตานั้นเป็นกิจกรรมหลัก ในวันสารทเขมรโดยสารทเขมรแบ่งออกเป็นสองช่วงคือ
เบ็นตู๊จ(สารทเล็ก)ในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 10 จะเป็นเพียงการการนำข้าวของไปทำบุญที่วัดไม่มีการ
เซ่นผีปู่ตาที่บ้าน หลังจากนั้นวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันเบ็นธม(สารทใหญ่)
อันเป็นวันที่ชาวบ้านต้องมีการแซนโดนตาโดยก่อนจะถึงวันนี้
ชาวบ้านจะมีการตระเตรียมข้าวของต่างๆมากมายที่จำเป็นต้องใช้ในการเซ่น
ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ข้าวต้มหมัดที่ห่อจากใบตองที่ชาวเขมรเรี่ยกว่า อันซอมเจ๊ก
 และที่ห่อจากใบมะพร้าวเรี่ยกว่า อันซอมโดง ไก่ย่าง ปลาย่าง หมูย่าง
เนื้อวัวย่าง ผัก ผลไม้ อาหารแห้ง หมากพลู และของที่จำเป็นต่างๆอีกมากมาย
ซึ่งบรรยากาศในท้องตลาดสี่ถึงห้าวันก่อนวันแซนโดนตาไม่ว่าจะเป็นในตัวอำเภอ หรือจังหวัดที่มีชุมชนคนไทยเขมรอาศัยอยู่อย่างเช่น ที่สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด
ถ้าท่านผ่านไปในชุมชนหรืออำเภอ ในช่วงดังกล่าวจะมีความจอแจเออัด
เต็มไปด้วยกลุ่มคนเชื้อสายเขมรมาจับจ่ายข้าวของเตรียมงานกันอย่างหนาตา
โดยเฉพาะตลาดกล้วยที่มาจากแหล่งต่างๆ ต่างขนมาเป็นนับร้อยๆคันรถ
มาขายในที่ที่เป็นชุมชนชาวเขมรซึ่งกล้วยนับเป็นผลไม้มงคลที่จำเป็นที่สุด
ในการนำไปประกอบเครื่องเซ่นในพิธีดังกล่าว

วันแซนโดนตาจะเริ่มขึ้นในเช้าวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 หรือแคเบ็น(เดือนกันยายน)
ซึ่งเช้าตรู่ของวันนี้ชาวบ้านจะต้องตื่นมาเตรียมทำอาหาร คาว หวาน
และข้าวของที่ได้จากการเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ มาจัดวางสำหรับลงในกระเชอที่เรี่ยกว่า กันจือเบ็น
(กระเชอเบ็น) โดยมีการจัดวางอย่างสวยงามไม่ว่าจะเป็น ข้าวต้มทั้งสองอย่างดังที่กล่าวแล้ว
ปลา ไก่ เนื้อหมู วัว ย่าง ผลไม้ ผัก ขนมนมเนย อาหารแห้งต่างๆ ที่จำเป็น
ซึ่งครอบครัวทุกครอบครัวที่แยกตัวออกมาจากพ่อแม่มามีลูกมีหลานจะต้องเตรียม
 กันจือเบ็น(กระเชอเบ็น) พอตกถึงเวลาประมาณ 16 - 17 นาฬิกา
ลูกหลานหรือครอบครัวต้องนำ กันจือเบ็น(กระเชอเบ็น)ไปที่บ้านพ่อแม่ของตน
หรือที่บ้านบรรพบุรุษเรี่ยกว่า จูนกันจือเบ็น(ส่งกระเชอเบ็น) โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกหลานและ
บรรพบุรุษมากๆจะมีความสนุกสนานอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตากันได้พบปะพูดคุยกัน
พอตกเย็นเวลา 19 – 20 นาฬิกา จะมีพิธีแซนโดนตาเริ่มขึ้นโดยนำข้าวของที่ลูกหลานนำมา
มาเซ่นซึ่งจะมีคนเฒ่าคนแก่และลูกหลานในสายตระกูลและเพื่อนบ้านมาร่วมพิธี
ซึ่งแต่ละบ้านที่เป็นหัวหน้าหรือมีสายสัมพันธ์กันกลุ่มคนเฒ่าคนแก่จะเวียนพากันไปแซนโดนตา
จนครบบ้านแต่ละเครือญาติจนหมด พิธีแซนโดนตานี้จะกระทำกันบนบ้าน 
และต้องเรี่ยกชื่อญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วให้มารับเครื่องเซ่น
ให้ครบทุกคนถ้าไม่ครบอาจเกิดการไม่พอใจแก่ผีบรรพบุรุษจะทำให้ครอบครัวไม่สบาย
 ซึ่งระหว่างนี้ก็จะมีการละเล่นบรรเลงเพลงกันตรึม มโหรี กันอย่างสนุกสนานเครื้อนเครง

หลังจากนั้นเช้ามืดประมาณตีสี่ของวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 11 เจ้าบ้านต้องตื่นมาเซ่นอีกครั้ง
และเตรียมอาหารคาวหวานไปถวายพระทำบุญที่วัด
และนำข้าวของเหล่านี้ลงกระเชอเช่นเดียวกับกระเชอเบ็นเพื่อนำไปวัด
โดยที่กระเชอเบ็นนี้จะมีการใส่บายเบ็นหรือบายตะเบิ๊ดตะโบร(ข้าวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ)
ประดับในกระเชอด้วย และมีการปักประดับด้วยรวงข้าวสารที่ทำขึ้น
จากนำก้านมะพร้าวมาทาด้วยข้าวต้มให้เหนียวแล้วทาบให้ข้าวสารติดนำไปประดับในกระเชอ
 และที่ก้นกระเชอนี้จะมีข้าวต้มและผลไม้ต่างนำมาตัดเป็นท่อนเป็นแว่นเพื่อไว้ไปเซ่นผีปูตาที่วัด
 พอถึงเวลาประมาณตีห้าชาวบ้านต้องยกกระเชอเหล่านี้ไปที่วัดซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผู้ชายเพื่อไป
ประกอบพิธีที่เรียกว่าการแห่ บายตะเบิ๊ดตะโบร(ข้าวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ)
ไปซึ่งพิธีนี้จะทำหลังพิธีสงฆ์ที่มีการอุทิศส่วนกุศลเสร็จสิ้นโดย
 พิธีที่เรียกว่าการแห่ บายตะเบิ๊ดตะโบร(ข้าวปั้นเป็นก้อนเล็กๆ)
นี้จะถูกนำไปโยนหรือวางรอบโบสถ์วิหารเจดีย์อัฐิผู้ตายส่วนข้าวต้มและผลไม้ที่ตัดเป็นท่อนๆ
ก็จะนำไปวางที่เดียวกัน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีนี้ขากลับบ้านชาวบ้านจะต้องเหลือข้าวต้ม
และผลไม้ที่ตัดเป็นท่อนบางส่วนกลับไปไว้นำไปเซ่นที่นาด้วย
วงมโหรีมีการเริ่มบรรเลงเพลงรออยู่ที่วัดแล้วหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแห่ บายตะเบิ๊ดตะโบร
 จากนั้นแปดโมงเช้า ชาวบ้านผู้หญิงที่เตรียมอาหารคาวหวานจะนำอาหารไปถวายให้พระฉันอาหาร
เช้าที่วัด ถือเป็นการเสร็จสิ้น ประเพณีแซนโดนตา – งานบุญสารทเดือนสิบของชาวไทยเขมร

ปัจจุบันแม้ประเพณีนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ก็ยังคงรูปแบบแบบแผนตามขนบธรรมเนียมของ

ชาวไทยเขมรไว้อย่างแนบแน่นไม่ให้สูญหายไปจากสังคมไทยบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ความเชื่อของท้องถิ่นที่เป็นรากเหง้าของสังคมผืนใหญ่ที่เรี่ยกว่าประเทศ

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

งานช้างสุรินทร์

งานช้างและกาชาดสุรินทร์ ครั้งที่ 49 เริ่มคึกคัก ประชาชน นักเรียน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตื่นเต้น แห่เข้าชมซ้อมใหญ่การแสดงของช้างเป็นจำนวนมาก ก่อนเปิดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ เป็นทางการในวันที่ 21-22 พ.ย.นี้ เผยระดมช้างกว่า 280 เชือก ร่วมการแสดง 8 ฉากสุดอลังการ
      
       วันนี้ (19 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานช้างและกาชาดสุรินทร์ ประจำปี 2552 (ครั้งที่ 49) ที่ ทางจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุรินทร์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-25 พ.ย.ที่บริเวณสนามกีฬาศรีณรงค์ และ สนามแสดงช้างสุรินทร์ ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ นั้น ล่าสุดบรรยากาศเริ่มคึกคักมากขึ้น
      
       โดยวันนี้ (19 พ.ย.)ได้มีประชาชนนักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้ความสนใจ ได้เดินทางเข้าชมการซ้อมใหญ่การแสดงของช้างที่สนามแสดงช้างสุรินทร์ ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ กันเป็นจำนวนมาก
      
       ทั้งนี้ เพื่อเตรียมเปิดการแสดงของช้างอย่างยิ่งใหญ่อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 21-22 พ.ย.นี้ ที่สนามแสดงช้างสุรินทร์ ซึ่งการแสดงของช้างสุรินทร์ปีนี้ ซึ่งได้ใช้ร่วมการแสดงมากถึงกว่า 280 เชือก ได้ โดยแบ่งออกเป็น 8 ฉากยิ่งใหญ่อลังการ ประกอบด้วย
      
       ฉากที่ 1 “นมัสการองค์สุรินทร์เทวา” - เริ่มการแสดง องค์พระสุรินทร์เทวา ประทับบนหลังคชาธารที่มีรูปร่างงดงามที่สุด เสด็จออกมาจากเมฆหมอก
      
       ฉากที่ 2 “จุติสู่โลกาธานี” - ลูกช้างตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งกับเด็กเลี้ยงช้างชาวกูย วิ่งเล่นออกมาด้วยกัน ทั้งคู่หยอกเย้ากันอย่างน่ารัก ตามด้วยลูกช้าง และเด็กเลี้ยงช้างจากทุกมุมของสนาม
      
       ฉากที่ 3 “บูชาฟ้าค้นหาพญาช้างไทย”- หญิงสาวชาวกูย ร่ายรำประหนึ่งกำลังบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
      
       ฉากที่ 4 “ปฐพีเลื่อนลั่น สนั่นพงไพร” - โขลงช้างป่าตัวใหญ่ เดินทางผ่านหมอกควันออกมา จากโขลงเดียวเป็นหลายๆ โขลง แปรขบวนเสมือนเกลียวคลื่นในทะเลช้าง รวมจำนวนช้างกว่า 200 เชือก
      
       ฉากที่ 5 “พาราแซ่ซ้องรับขวัญคชา” - ชาย หญิง ชาวกูย ในเครื่องแต่งกายสวยงาม ร่ายรำออกมาอย่างอ่อนช้อย
      
       ฉากที่ 6 “คชศาสตร์ศึกษา เรืองฤทธิไกร” - การแสดงการฝึกช้าง การแสดงความสามารถของช้าง เช่น การวาดรูป การเดินสองขา การปาเป้า การเตะฟุตบอล ฯลฯ
      
       ฉากที่ 7 “รุกรบไพรี ยุทธหัตถีมีชัย” - การแสดงยุทธหัตถี ของฝ่ายอโยธยา กับขบวนทัพหงสาวดี การจัดทัพที่ยิ่งใหญ่และมีความสมบูรณ์ที่สุด ทั้งช้าง ม้า ปืนใหญ่ ฯลฯ
      
       ฉากที่ 8 “ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ช้างไทยก้องปฐพี” - ฉากจบ โขลงช้างและนางรำทุกฉาก ทยอยเดินออกมายืนล้อมกองทัพยุทธหัตถี
      
       ประชาชนนักท่องเที่ยวสามารถจองบัตรล่วงหน้าหรือซื้อบัตรหน้าบริเวณงาน เพื่อเข้าชมการแสดงของช้างในวันที่ 21-22 พ.ย.ดังกล่าวได้ในอัตราบัตรผ่านประตูราคา 1,000 บาท 500 บาท 300 บาท และ 40 บาท โดยเริ่มแสดงตั้งแต่เวลา 08.30 น.เป็นต้นไป
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับในคืนวันนี้ ( 19 พ.ย.) ได้มีการจัดประกวด ขบวนแห่รถอาหารช้าง ซึ่งมีรถยนต์ตกแต่งด้วยอาหารช้างจากหน่วยงาน และชุมชนต่างๆ เข้าร่วมประกวด กว่า 30 คัน พร้อมจัดการประกวดโต๊ะอาหารช้างที่มีน้ำหนักของอาหารรวม 50 ตัน มีความยาวของโต๊ะอาหารช้างกว่า 200 เมตร ที่บริเวณ ถ.กรุงศรีนอก ด้านอนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง เขตเทศบาลเมืองสุรินทร์
      
       จากนั้น ในเช้าวันนี้ (20 พ.ย.) จะเป็นการจัดเลี้ยงอาหารต้อนรับช้างจำนวน 280 เชือก บริเวณถนนกรุงศรีนอก เขตเทศบาลเมืองสุรินทร์
      
       ขณะที่บริเวณสนามกีฬาศรีณรงค์ ประชาชนนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงาน จะได้พบกับนิทรรศการ การออกร้านของส่วนราชการ การจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ OTOP การแสดงดนตรีชื่อดังและการออกร้านกาชาด บัตรผ่านประตู ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ซึ่งได้ทำพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา และมีงานไปจนถึงวันที่ 25 พ.ย. นี้
บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้รับการเรียกขานว่า "หมู่บ้านทอผ้าไหมเอเปกบ้านท่าสว่าง" เมื่อครั้งการประชุมผู้นำเศรษฐกิจ 21 ประเทศ ในปี 2546 ผู้นำพร้อมภริยาต่างสวมใส่ผ้าไหมยกทองของบ้านท่าสว่าง ถือเป็นผ้าไหมสินค้าโอท็อป 5 ดาว ระดับประเทศ

คำขวัญ จ.สุรินทร์ที่ว่า "สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม" เป็นคำขวัญที่สมบูรณ์แบบมาก ข้อความในแต่ละประโยค เป็นความจริงในวิถีของชาวสุรินทร์โดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องช้าง ผ้าไหม เครื่องเงินหรือประคำ (ปะเกือม) แหล่งโบราณสถาน หัวไชโป๊หรือหัวผักกาดหวาน ที่ส่งออกไปขายทั่วโลก และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวสุรินทร์แต่โบราณ

หากใครอยากดูโบราณสถาน ไปได้เลยที่กลุ่มปราสาทตาเมือน ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก ใกล้ตัวเมืองหน่อยก็ต้องปราสาทศีขรภูมิ หรือปราสาทระแงง อ.ศีขรภูมิ หรือจะเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย คือปราสาทภูมิโปน ต.ดม อ.สังขะ หรือจะไปดูหมู่บ้านช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ศูนย์คชศึกษา หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง ต.กระโพ อ.ท่าตูม อยากจะไปไหว้พระใหญ่พระพุทธสุรินทรมงคล พร้อมเคาะระฆัง 1,080 ใบ ที่วนอุทยานพนมสวาย หรือเขาสวาย ต.นาบัว อ.เมือง
แล้วมาแวะชมเลือกซื้อผ้าไหมงามของเมืองสุรินทร์ ที่เป็นแหล่งรวมสุดยอดผ้าไหม ที่บ้านท่าสว่าง หรือหมู่บ้านทอผ้าไหมเอเปก บ้านท่าสว่าง ต.ท่าสว่าง อ.เมือง หากนักท่องเที่ยวอยากจะพักค้างคืนที่บ้านท่าสว่าง เพื่อเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ก็มีบ้านพักโฮมสเตย์ให้พักค้างคืนได้ในราคาเป็นกันเอง

บ้านท่าสว่าง หรือชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "บ้านเตรี๊ยะ" ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ท่าสว่าง เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านการทอผ้าไหม โดยเฉพาะการทอผ้าไหมลายยกทองโบราณ โดยอาจารย์วีระธรรม ตระกูลเงินไทย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ ในการพัฒนาและคิดค้นวิธีการทอผ้าไหม แบบลวดลายยกทองโบราณ

โดยประยุกต์ด้านจิตรกรรมไหมไทย การใช้สีธรรมชาติ การออกแบบลวดลายบนผ้าไหมอย่างวิจิตรบรรจง และมีการรวมกลุ่มของชาวบ้านท่าสว่าง เพื่อมาทำงานทอผ้าร่วมกัน ยามว่างจากการทำไร่ทำนา
ผ้าไหมบ้านท่าสว่าง ได้รับการยอมรับและยกย่องว่า เป็นการทอผ้าไหมที่มีความละเอียดตั้งแต่หนึ่งร้อยตะกอถึงหนึ่งพันกว่าตะกอ และเคยทอผ้าไหมหนึ่งพันสี่ร้อยสิบหกตะกอ เพื่อทอเป็นผ้าไหมยกทอง ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่มีการทอแบบราชสำนักผสมผสานกับเทคนิคการทอผ้าไหมแบบพื้นบ้าน จนกลายเป็นผ้าไหมทอมือที่มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

และเมื่อวันที่ 2-6 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาชุมชน จ.สุรินทร์ เลือกหมู่บ้านท่าสว่าง เป็นสถานที่ในการจัดงาน "มหกรรมไหมสุรินทร์ สุดยอดไหมโลก" และหมู่บ้านโอท็อปเพื่อการท่องเที่ยวเชิงหัตถกรรม เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน

แม้งานผ่านไปแต่วัฒนธรรมประเพณีและฝีมือในการทอผ้าไหมยังไม่เคยเปลี่ยน สำหรับผู้ที่ต้องการพักค้างคืนในหมู่บ้านท่าสว่าง มีบ้านพักโฮมสเตย์ไว้ต้อนรับ และจะมีมัคคุเทศก์น้อยพาเที่ยวชมการแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่นทุกวันในราคาเข้าพักเพียงคนละ 100 บาทต่อคืน

แล้วคุณจะประทับใจไปอีกนาน

รูปภาพแนวอาร์ต